
(อ่านแล้ว 131 ครั้ง)
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ภายหลังศาลอาญามีนบุรี อัยการ โจทก์ ยื่นฟ้อง นายเสกสรร หรือเสกโลโซ ศุขพิมาย จำเลยคดีหมายเลขคดีดำ อ.1662/2561 แดง อ.8288/2561 ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่, เสพยาเสพติด และมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490
จากกรณีนายเสกสรรค์ ยิงปืนขึ้นฟ้าโดยไม่มีเหตุอันสมควรบ้านพักหลังจากศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช และถูกศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชออกหมายจับ ก่อนที่ เสก โลโซ ได้เดินทางกลับมาบ้านพักย่านสุขาภิบาล5 เมื่อทราบข่าว วันที่ 31 ธันวาคม 2560 พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว ( ในขณะนั้น) ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าล้อมจับตัว เสก โลโซ ที่บ้านพัก แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเสก โลโซ ขัดขืน ไม่ยอมออกจากห้องนอนพร้อมไลฟ์สด ว่ามีปืนอยู่กับตัว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาสูงสุดและอีหลายท่านต้องเดินมาเกลี้ยกล่อม ทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ( ผบ.ตร.ในขณะนั้น) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง และอีกหลายท่าน ในระหว่าง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง กำลังเจรจา เสก โลโซ ได้ขัดขืนและขู่หากเจ้าหน้าที่บุกเข้ามาจะใช้ปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องใช้หน่วยอรินทราชเข้าช่วยเหลือในการควบคุมตัว
การกระทำของเสก โลโซ ในคดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนพกออโตเมติกซึ่งมีทะเบียนพร้อมกระสุนปืนและต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธปืนและเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอาญาให้ลงโทษ แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกและจำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชขอให้ลงโทษบวกโทษและนับโทษต่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้ใบอนุญาตส่วนความผิดอื่นในการปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยที่โจทก์ขอให้บวกโทษและนับโทษต่อ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้ง 3 ข้อหา ให้จำคุกตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ 1 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 6 เดือน, ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายโดยมีอาวุธปืน ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานเสพยาเสพติด จำคุกอีก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 18 เดือน และให้บวกโทษของศาลอาญาคดีทำร้ายร่างกายสาวคนสนิทภรรยาอีก 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 21 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ แม้ว่าจำเลยอ้างป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ขณะกระทำผิด เนื่องจากเห็นว่าจากพฤติการณ์การสื่อสารกับเจ้าหน้าที่พบว่าจำเลยรู้ผิดชอบดี จึงไม่อาจอ้างภาวะป่วยดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยนั้นไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดี พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
ต่อมาวันที่ 7 พ.ค. 2563 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 5 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุก 1 ปี 15 เดือน บวกโทษจำคุก 1 ปี 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดง ที่ อ.3705/2559 ของศาลอาญาเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ เป็นจำคุก 2 ปี 18 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยศาลตีราคาประกัน 600,000 บาท
โดยศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 12 เดือน 20 วัน ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้น วันที่ 20 พ.ค.2568 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวนายเสกสรรค์ไปยังเรือนจำพิเศษมีนบุรี เพื่อรับโทษตามคำพิพากษา
ล่าสุด 21 พ.ค. 2568 พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช รอง ผบก.ภ.จว.สระบุรี ( ผกก.สน.คันนายาว ในขณะนั้น) ได้โพสต์เฟซบุ้คส่วนตัว ให้กำลังใจว่า เจ็ดปีผ่านไป ยังจำฝังใจเพราะภาพรูปเดียวทำให้เราถูกย้าย วันนี้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าผมทำคดีอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าเราจะรู้จักกันก็ขอให้กำลังใจพี่เสก โลโซ อีกไม่นานได้กลับมาเล่นดนตรีให้พวกเราได้ฟังครับ